การเดิน เป็นการออกกำลังกายที่เรียบง่ายมากที่สุด เทรนเนอร์ออกกำลังกาย ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ บุคลากรทางการแพทย์ ไปจนถึง WHO องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ก็ได้รณรงค์ให้คนทั่วโลกหันมาออกกำลังกายทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินออกกำลังกาย เพื่อการมีสุขอนามัยที่ดี โดยมีโจทย์ให้ว่า ภายใน 1 สัปดาห์ คนเราควรออกกำลังกายหนักในระดับปานกลางให้ได้อย่างน้อย 150 นาที และออกกำลังกายด้วยความหนักระดับสูงประมาณ 75 นาทีขึ้นไป ในที่นี้ความหมายของระดับปานกลางในทางฟิตเนส หมายถึงภายหลังการทำกิจกรรมนั้น ๆ แล้ว เรายังสามารถพูดเป็นประโยคยาว ๆ ต่อเนื่องได้ ทั้งนี้ก็มีข้อสงสัยกันอยู่ว่าการเดินเป็นกีฬาหรือไม่ คำตอบคือการเดินนั้นถือว่าเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง เพราะนิยามของกีฬา คือ กิจกรรมที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน สร้างทักษะการเคลื่อนไหวให้กับร่างกายให้มีความแข็งแรงและการมีสุขภาพดี มีการทรงตัวที่ดี การเดินเร็วทำให้เกิดการเผาผลาญแคลอรีเพิ่มขึ้นได้ และยังทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินได้เช่นเดียวกับการเล่นกีฬาชนิดอื่น
ดังนั้นวันนี้เราจะไปไขความกระจ่างพร้อม ๆ กันว่า เดินแล้วได้อะไร ทำไมใคร ๆ ถึงแนะนำให้เดินออกกำลังกาย
ข้อมูลจากเว็บไซต์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลระบุว่า การเดินอย่างต่อเนื่องเพียงวันละ 30 นาที อย่างน้อย 4-5 วันต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสม และไม่ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าจนเกินไป เหมาะสำหรับ ผู้สูงอายุ ผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายและผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานอีกด้วย ซึ่งการเดินเพียงละ 30 นาที มีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด โดยมีข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของการเดินที่มีการเผยแพร่ทางสื่อโซเชียล ที่ช่วยตอบข้อสงสัยได้ว่าเดินแล้วได้อะไร มีดังต่อไปนี้
ประโยชน์ที่ได้จากการเดินอย่างต่อเนื่องวันละ 30 นาที
- การเดินบ่อย ๆ และสม่ำเสมอเป็นการฝึกให้หัวใจแข็งแรง ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและความดันโลหิตสูงลงได้
- การเดินออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและความแข็งแรงยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อบริเวณ ขา น่องและสะโพกอีกด้วย
- จากงานวิจัยพบว่า คนที่เดินออกกำลังกายวันละ 1 กิโลเมตรขึ้นไป จะมีความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยลงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
- การเดินช่วยทำให้ลำไส้ใหญ่แข็งแรง ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบการย่อยอาหาร และการขับถ่าย อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ลงได้กว่า 30 เปอร์เซนต์
- ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของปอด ทำให้ออกซิเจนผ่านเข้าสู่กระแสเลือดได้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยรักษารูปร่างและทำให้อารมณ์แจ่มใส สดชื่น มีทัศนคติที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น
- เสริมสร้างกระดูกและข้อต่อ ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน
- ช่วยให้ระบบเผาผลาญดี ลดน้ำตาลในเลือดลงได้อย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ผลดีโดยตรงคือการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน
แม้ว่าการเดินอาจจะไม่เผาผลาญพลังงานได้มากเท่ากับการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ก็เป็นทางเลือกในการรักษาสุขภาพที่ดี อีกทั้งไม่หักโหมร่างกายจนเกินไป แต่ข้อควรระวังก็มี โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเรื่องหัวเข่าและข้อเท้า แนะนำว่าควรเลือกวิธีออกกำลังกายแบบอื่นที่เหมาะสมไปก่อน เช่น กายบริหารเฉพาะท่า ว่ายน้ำ หรือโยคะ เป็นต้น หรือใช้วิธีจำกัดระยะทางและเวลาในการเดิน